วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัยรุ่นกับ"แฟชั่น"เป็นของคู่กัน



     วัยรุ่น เป็นวัยที่พยายามค้นหาสิ่งใหม่ให้กับตัวเองอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงความจำเจ และพยายามผลักดันให้ตัวเองมีความแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้วัยรุ่นเป็นวัยที่ค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองจากสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ นิตยสาร เป็นต้น


  
L-4389_large

         นิตยสารส่วนใหญ่ที่จะได้รับความนิยมจากวัยรุ่น มักจะเป็นนิตสารที่มีการแต่งตัว เสื้อผ้า รองเท้า การแต่งหน้า การจัดทรงผม ที่กำลังมาแรงในช่วงเวลานั้นประกอบอยู่ภายในเล่ม หรือที่เรา เรียกว่า  นิตยสารแฟชั่น
         นิตยสารวัยรุ่นที่ได้รับนิยมเป็นอย่างสูง คงหนีไม่พ้นนิตยสาร CHEEZE ซึ่งเป็นนิตยสารวัยรุ่นแนวแฟชั่นตามท้องถนน ที่แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้ชัดเจน 
 
  
       เนื่องจากวัยรุ่นส่วนหนึ่งเชื่อว่า CHEEZE เป็นสื่อที่สามารถแนะนำสิ่งที่ดีให้ตนได้ วัยรุ่นจะใช้ประสบการณ์ และแฟชั่นจากนิตยสารมาปรับให้เข้ากับความเป็นตัวของตัวเอง นิตยสารนี้มีการใช้ดารานักแสดงวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงมาเป็นแบบ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลสาธารณะที่ออกสื่อตลอดเวลา ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่วัยรุ่นชื่นชอบก็จะทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมเลียนแบบดาราที่ตนชื่นชอบ นิตยสารนี้จึงสามารถดึงความสนใจของผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี เช่น

เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ


   จากหน้าปกข้างต้นจะเห็นว่ามีการใช้ดาราวัยรุ่นที่ได้รับความนิยม นั่นคือ เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ จะส่งผลให้วัยรุ่นที่เห็นหน้าปกเกิดความสนใจ อยากรู้ว่าเต้ยแต่งตัวอย่างไร เช่น จากปกเต้ยใส่เสื้อแจ๊คเกทหนังสีดำ วัยรุ่นหลายคนจึงไปซื้อแจ๊คเกทหนังสีดำมาใส่ เพื่อให้เหมือนนักแสดงที่ตนชื่นชอบ จนเกิดเป็นกระแสความนิยมของแจ๊คเกทหนังสีดำในช่วงเวลานั้น เป็นต้น


จะเห็นได้ว่านิตยสารแฟชั่นถือว่ามีอิทธิพลต่อการแต่งกายวัยรุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะลักษณะการแต่งกายที่แสดงความเป็นตัวเองของวัยรุ่นอาจได้รับอิทธิพลมาจากเพื่อนในกลุ่ม และลักษณะการแต่งกายของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล มรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับมาด้วย  การแต่งกายสวยงามเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรคำนึงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เพราะกายแต่งกายนั้นสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพของผู้แต่งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

                                                      
                                                                                                          

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นอกเรื่อง

   สวัสดีค่าา ผู้อ่านที่น่ารัก วันก่อนเราได้ไปดูหนังมาหลายเรื่องเลย เรื่องทไวไลท์ภาคล่าสุดนี่คุ้มค่าตั๋วมาก ฮ่าๆ แต่บางคนก็บอกว่างั้นๆ ไม่สนุก ส่วนตัวเราว่าสนุกกว่าทุกภาคนะ
    ดูหนังเรื่องเดียวกันแต่สนุกไม่เท่ากัน มันคงเป็นเพราะสไตล์การชอบหนังของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันบางคนก็ชอบหนังรัก หนังตลก หนังผี แตกต่างกันไป เราดูได้หลายแนวนะ แต่ส่วนมากจะชอบหนังของต่างประเทศเสียมากกว่า

   ถ้ามีหนังใหม่กำลังจะเข้าฉาย โปสเตอร์หนังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น  ถ้าโปสเตอร์หนังทำออกมาได้แย่ ก็จะเสียคะแนนการโปรโมตหนังมากๆ เลย อย่างเช่น



Knight And Day


ซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต้องหนีจากการถูกไล่ล่า แล้วเกิดรักกันขึ้นมา ถ้าดูจากโปสเตอร์ก็สามารถสื่อได้ว่าเป็นหนังแนวบู๊ๆ หน่อย  แต่สองรูปนี้มีการใช้สีไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่เลย แถมท่าถือปืนเราว่าตลกมาก มันค่อนข้างขัดกับความเป็นจริง ซึ่งถือว่าเสียคะแนนมากๆ เลย
Knight & Day Knight and Day ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย
Knight And Day


วิจารณ์เขามาพอแล้ว มาพูดถึงโปสเตอร์หนังเรื่องที่เราโปรดปรานดีกว่า


ผ่าง...
The Avengers


เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยดูเรื่องนี้กัน นั่นก็คือเรื่อง The Avengers ค่ะ ซึ่งเป็นหนัีงที่เกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาช่วยปกป้องโลกจากเหล่าวายร้าย
    เหตุผลที่ชอบโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ เพราะว่าโปสเตอร์สามารถสื่อออกมาได้ชัดเจน ว่าเป็นหนังแนวซูปเปอร์ฮีโร่ต่อสู้อย่างแน่อน และสามารถรับรู้ได้ทัีนทีว่้าตัวละครแต่ละตัว มีความสามารถพิเศษหรืออาวุธประจำตัวอย่างไร แม้ใครที่ไม่เคยดูก็จะรู้ได้ทันทีว่าตัวละครนี้มีลักษณะพิเศษอย่างไร ภายในรูปจะเห็นว่ามีฉากหลังก็จะเป็นภาพเมืองที่กำลังถูกโจมตี เป็นสีทึมๆ เทาๆ ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ผู้ออกแบบจะเน้นให้นักแสดงที่กำลังแสดงท่าทางเหมือนกำลังพร้อมกับการต่อสู้ มีสีสันโดดเด่นเพื่อเป็นการเน้นความสำคัญ แต่การจัดวางนักแสดงค่อนข้างไม่เท่าเทียมกัน เพราะเอาตัวละครกัปตันอเมริกาที่เราชอบไปอยู่ข้างหลัง 5555 พูดเล่นค่ะๆ อาจเป็นเพราะตัวละครมีมากเกินไป จนทำให้ตำแหน่งการจัดวางดูค่้อนข้างแน่นและอึดอัด ตัวละครตัวเล็กเกิินไป ดูไกลๆ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงคิดว่าควรขยับตำแหน่งรูปให้เลื่อนลงมา ให้มีพื้นที่สีดำตรงขอบล่างน้อยลง ขยายพื้นที่ท้องฟ้าให้กว้างขึ้น แล้วให้ตัวละครที่บินได้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าสักคน น่าจะลดความอึดอัดไปได้บ้าง
  
  แต่อย่างไรก็ตามโปสเตอร์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คุณภาพหนังจริงๆ จะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ดูเท่านั้น อย่างเช่นเรื่อง The Avengers ที่ได้ข่าวว่ากำลังจะมีภาค 2 ถ้าหากโปสเตอร์ไม่สวยหรือทำให้นักแสดงดูอึดอัดไปกว่านี้ เราก็ไม่เปลี่ยนใจที่จะไปดูหนังเรื่องนี้หรอกจ้า ..






วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แค่"ให้อภัย"ใจก็สุข


     ได้สังเกตุกันหรือไม่ ว่าทุกวันนี้ในสังคมของเราล้วนมีแต่ความวุ่นวาย ผู้คนมีความสุขน้อยลง รวมถึง

ตัวของเราเองด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ รู้สึกว่าตัวเองโกรธง่ายหายนาน ฉุนเฉียวง่าย ขี้

หงุดหงิด ขี้โมโห ขี้งอน สารพัดขี้เลยล่ะ T^T จนมีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน แม่ก็เลยแนะนำให้สวดมนต์

ทำสมาธิบ่อยๆ เราจึงต้องหาหนังสือสวดมนต์มาสักเล่ม 

จนกระทั่ง... ได้มาเจอกับหนังสือที่มีชื่อว่า "มหัศจรรย์แห่งการให้อภัย" โดย พระราชญาณกวี ซึ่งจะ

ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับการให้อภัยและบทสวดมนต์

      ขอสารภาพว่าช่วงแรกที่ได้หนังสือมาไม่ได้อ่านเนื้อหาเลย มีไว้เพื่อประกอบการสวดมนต์อย่างเดียว 

ฮ่าๆ แต่พอได้อ่านเนื้อหาแล้ว จึงรู้ว่าเป็นหนังสือที่มีดีมากกว่าเป็นหนังสือประกอบการสวดมนต์เพียง

อย่างเดียว โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับการให้อภัยทาน และการ

อโหสิกรรมไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์ เพื่อไม่ให้เป็นเวร

เป็นกรรมติดต่อไปยังภพชาติหน้า การที่เราไม่ยกโทษหรือไม่ยอม

ให้อภัยก็เหมือนกับการเอาสิ่งที่ไม่ชอบ

ผูกติดกับตัวไว้ตลอด เวลาที่เราโกรธหรือเกลียดใครสีหน้าเราก็จะ

เปลี่ยน ทำให้เลือดในร่างกายผิดระบบ

 เช่น เมื่อโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ร้ายก็จะมีลักษณะ

เช่นเดียวกัน คือ มีความร้อนรุ่ม ไม่พอใจ ทำอะไรก็กังวล เป็นทุกข์

       แต่ถ้าเรายกโทษก็จะรู้สึกว่าจิตใจเบาสบาย เพราะว่าหมด

ความเป็นทุกข์ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการจองเวรข้ามภพ

ที่มาในรูปแบบลูก สามี ภรรยา หรือการพบหน้ากันครั้งแรกแต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกชะตาด้วย

 เหตุเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วเราไม่ได้มีการให้อภัยกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเราไม่สามารถรู้

ว่าชาติที่แล้วเราเคยไปทำอะไรกับใครไว้บ้าง ดังนั้นจึงควรอโหสิกรรมและขออโหสิกรรมแก่กันเพื่อให้

บกันภายในชาตินี้


                หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้เรามีความคิดเกี่ยวกับคนที่ทำให้เรารู้สึกโกรธหรือไม่พอใจต่างไปจากเดิม

นะ จะคิดเสียว่าชาติที่แล้วเราอาจจะเคยล่วงเกินทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจมาก่อน จึงยุติกรรมด้วยการให้อภัย

กันในชาตินี้ ซึ่งถ้าได้ลองจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องคิดว่าเป็นการให้ทานอย่างสูงที่จำเป็นต้องใช้

ความพยายามที่มีผลคุ้มค่า แต่เมื่อทำได้ก็จะส่งผลให้เรารู้สึกสบายใจ มองบุคคลนั้นเป็นมิตรแทนที่จะ

เป็นศัตรูกัน และสร้างกรรมร่วมกันไม่จบไม่สิ้น

 คงจะเห็นแล้วใช่มั้ยว่า  ..พลังยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใจเราเป็นสุขนั้นคือ พลังแห่งการให้อภัย..


                

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"นิทาน"

      ห่างหายไปจากการเขียนบล็อคมานานเลยเรา  เห็นจากหัวข้อชื่อ"นิทาน" นี่ไม่ได้มาเล่านิทานนะคะ ฮ่าๆ  วันนี้เรามากล่าวกันเรื่อง 'สื่อการเรียนการสอน'กันค่ะ ไหนๆก็เรียนเกี่ยวกับด้านนี้แล้วเนอะ

สื่อการเรียนการสอน คืออะไร 

    สื่อการเรียนการสอน ก็คือ ตัวกลางหรือว่าช่องทางในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ จากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียนนะคะ และทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สื่อก็มี 3 ประเภทนะคะ ได้แก่ สื่อประเภทวัสดุ สื่อประเภทเครื่องมือ และสื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ

     วันนี้เราก็เอาตัวอย่างสื่อมาให้ผู้อ่านได้ดูชมกันด้วยนะ สื่อของเราจัดอยู่ในประเภทวัสดุค่ะ เป็นวัสดุสิ่งพิมพ์ นั่นก็คือ นิทาน 

 เอาละค่ะ มาดูมาชมสื่อที่เราเอามาเสนอกันดีกว่า


ผู้อ่านคงสงสัยว่าเอามาเป็นสื่อการสอนได้อย่างไรใช่มั้ยคะ  

   นิทานเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ดีมากประเภทหนึ่งเลยละค่ะ ใช้ได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน สื่อนิทาน สามารถพัฒนาทักษะทางการเรียนได้มาก โดยเฉพาะนิทานที่มีข้อคิดดีๆที่สามารถให้ความบันเทิงพร้อมมีคติสอนใจ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้เรื่องที่ใช้ควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระที่สอนอยู่ด้วยค่ะ 







ที่มา : http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=5&group_id=23&article_id=194



วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

E-librart กับสื่อการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21



สวัสดียามเย็นวัน จันทร์ ที่ 13 สิงหาคม ค่ะ เมื่อวานมีใครได้ไปเที่ยวกับคุณแม่บ้างเอ่ย เรานะอยากกลับบ้านไปหาแม่ใจแทบขาด อยากกลับไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ๆแต่ไม่ได้กลับเพราะติดงาน เลยได้แค่โืทรไปบอกรักแม่เบาๆและอวยพรแม่หนักๆ :)


           วันนี้วันดี เรามาว่ากันด้วยเรื่องของ e-library กันดีกว่า มีใครเคยได้ยินคำว่า e-library บ้างมั้ยคะ ? เราคิดว่าหลายคนคงอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไร
"e-library" มาจากคำว่า Electronic Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งหมายถึง แหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

   e-library ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ประกอบไปด้วยการทำงานของ

  •     ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จะเป็นระบบการทำงานของห้องสมุดโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย เพื่อให้การทำงานของฝ่ายต่างๆ ในห้องสมุดสามารถทำงานเชื่อมโยงประสานกันได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานด้วยมือซ้ำหลายๆครั้ง
  •     ห้องสมุดดิจิตอล เป็นห้องสมุดที่มีการจัดการและให้บริการเนื้อหาของข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลที่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาฉบับเต็มได้โดยตรงเลยค่ะ มีการสร้างหรือจัดหาข้อมูลดิจิตอลมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อความสะดวกในการสืบค้นและให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  •    ห้องสมุดเสมือน หมายถึง สถานที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้คอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก ห้องสมุดเสมือนจึงเป็นที่รวมแหล่งสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการจัดการอย่างมีระบบและให้บริการค้นคืนสารสนเทศแบบออนไลน์ในระบบเครือข่าย โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงระยะไกลมายังห้องสมุดเพื่อสืบค้นและใช้สารสนเทศของห้องสมุดหรือเชื่อมโยงกับแหล่งสารสนเทศอื่นได้ทุกที่ในระบบเครือข่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ลักษณะของ e-library
  •  การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
  •  ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
  •  บรรณารักษ์หรือบุคลากรของห้องสมุดสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
  •  ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศสู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์

ประโยชน์ของ e-library  ก็คือ มีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบ ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลหรือค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ในเวลาที่ต้องการเป็นการแพร่กระจายความรู้ให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ค่ะ เช่นเดียวกับการดำเนินงานขององค์กรในลักษณะของ  e-office และ e-commerce เป็นต้น


แต่ e-library ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ดังนี้
1. การอ่านที่ยุ่งยากต้องอ่านจากคอมพิวเตอร์ 
2. ต้องอาศัยระบบเครือข่าย 
3. การละเมิดลิขสิทธิ์ 
4. ผู้ใช้จะต้องมีอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต
          5. ผู้ใช้ต้องมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์

ในเรื่องของบทบาทของ e-library กับการศึกษา
- สามารถทำให้การเรียนการสอนมีความหลากหลายเรียนได้เร็วขึ้น
- สามารถตอบสนองความแตกต่างของผู้เรียนได้การเรียนการสอนจะเป็นการตอบสนอง
ความสนใจและความต้องการของแต่ละบุคคลได้ดี
- ทำให้การจัดการศึกษา ตั้งบนรากฐานของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การจัดการศึกษาเป็นระบบ
- ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง
- ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพแห่งตน
จากบทบาทของ e-library กับการศึกษา ที่กล่าวมาเราก็จะเห็นได้ว่า e-library เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความสำคัญกับการศึกษา เป็นวิธีการหาความรู้ชนิดหนึ่ง การที่เราสอนวิธีหาความรู้ จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการสอนเฉพาะความรู้สำหรับโลกอนาคต เพราะเนื้อหาสาระจะเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา เครื่องมือในการหาความรู้จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับเด็กยุคใหม่ ฉะนั้นในการสอนเราก็จะต้องเน้นการสอนให้เด็กรู้วิธีหาความรู้อย่างถูกต้องเหมาะสม กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นั่นเอง





แหล่งที่มา : http://blog.eduzones.com/dena/4913
                 : http://aquamarin97.wordpress.com/e-library-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD/


 


 

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา

ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา

   สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เราห่างหายไปจากการเขียนบล็อคมานานเลย วันนี้เป็นวันที่อากาศค่อนข้างร้อนนะคะ อาจจะทำให้หลายคนอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศได้เลยนะเนี่ย อ่านไปก็กินไอติมเย็นๆไปด้วยนะคะจะได้เย็นลง :)

   วันนี้้เราจะมากล่าวถึงเรื่อง ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศค่ะ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ในทุกๆมหาวิทยาลัยก็ต้องมีศูนย์บริการสื่อฯกันอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความสำคัญของศูนย์บริการสื่อฯนี้ 

  ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามีบทบาทหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบการผลิตสื่อ การจัดหาสื่อ และการให้บริการสื่อในด้านต่างๆ รวมไปถึงการให้บริการให้ด้านวิชาการอีกด้วย มีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อด้วยกัน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์สื่อการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เป็นต้น   

      ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ ถือว่าเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญมากในระดับชั้นอุดมศึกษา เพราะว่า เป็นถือแหล่งความรู้สำหรับเตรียมการสอนสำหรับผู้สอน เป็นสถานที่ฝึกฝนและให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่นิสิตหรือบุคคลที่สนใจ เป็นแหล่งสงเสริมอบรมความรู้ด้านการศึกษาแก่ผู้เรียน เป็นที่ที่มีอุปกรณ์ครบเราสามารถเลือกใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และยังเป็นสถานที่สำหรับสืบค้นและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีแก่ผู้สอนด้วยค่ะ


ตัวอย่างศูนย์ที่ดีที่เราเลือกมา ก็คือ 
 "ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์"
เพราะว่าเป็นศูนย์ที่ให้บริการสื่อการศึกษาหลายประเภทแก่อาจารย์ พนักงานและนักศึกษาเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน และกิจกรรมด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย มีดังนี้ค่ะ

- งานผลิตเอกสารกลาง

1. ให้บริการผลิตสำเนาเอกสารประกอบการเรียนการสอน
2. ให้บริการจัดทำข้อสอบ
3. ให้บริการออกแบบสิ่งพิมพ์

- งานออกแบบและผลิตสื่อนิทรรศการ  



1. บริการผลิตสื่อนิทรรศการ
2. ให้บริการผลิตสื่อกราฟิก และออกแบบสัญลักษณ์ต่างๆ
3. ให้บริการตัดสติกเกอร์
4. ให้บริการเขียนป้ายผ้า ป้ายสัมมนาและงานประชุม
5. ให้บริการซิลสกรีน


- งานบริการโสตทัศนูปกรณ์ 

1.งานควบคุมสื่อโสตฯ ห้องเรียนรวม ห้องประชุมอบรมสัมมนา
2.งานติดตั้งอุปกรณ์สื่อโสตฯ และควบคุมสื่อโสตฯทั่วไป
3.งานซ่อมบำรุงอุปกรณ์สื่อโสตฯ
4. วิเคราะห์ วางแผนจัดหาเพื่อให้ได้มาอุปกรณ์สื่อโสตฯ
5. บริการยืมคืนอุปกรณ์โสตฯ ครุภัณฑ์โสตฯ
6. บริการเบิกจ่ายวัสดุสิ้นเปลือง วัสดุโฆษณา

- งานผลิตสื่อวีดิทัศน์และภาพนิ่ง



1. บันทึกเทปวีดิทัศน์
2. ตัดต่อเทปวีดิทัศน์
3. บันทึกเสียง
4. ตัดต่อเสียง
5. ถ่ายภาพนิ่ง (ภาพติดบัตรต่าง ๆ และภาพเพื่อจัดทำเอกสารสิ่งพิมพ์)
6. ถ่ายโอนสื่อระหว่าง เทป/CD/VCD/DVD

- งานวิจัยและพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์



1. บริการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2. บริการจัดทำโฮมเพจและผลิตสื่อมัลติมีเดีย
3. บริการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น สแกนภาพและทำภาพพิเศษ
4. ผลิตซีดีรอม ออกแบบสัญลักษณ์ต่างๆ



   คงได้เห็นกันแล้่วว่า ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เป็นศูนย์บริการสื่อที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้หลายกลุ่ม จึงจัีดได้ว่าเป็นตัวอย่างของศูนย์บริการสื่อที่ดีที่หนึ่ง