วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นอกเรื่อง

   สวัสดีค่าา ผู้อ่านที่น่ารัก วันก่อนเราได้ไปดูหนังมาหลายเรื่องเลย เรื่องทไวไลท์ภาคล่าสุดนี่คุ้มค่าตั๋วมาก ฮ่าๆ แต่บางคนก็บอกว่างั้นๆ ไม่สนุก ส่วนตัวเราว่าสนุกกว่าทุกภาคนะ
    ดูหนังเรื่องเดียวกันแต่สนุกไม่เท่ากัน มันคงเป็นเพราะสไตล์การชอบหนังของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันบางคนก็ชอบหนังรัก หนังตลก หนังผี แตกต่างกันไป เราดูได้หลายแนวนะ แต่ส่วนมากจะชอบหนังของต่างประเทศเสียมากกว่า

   ถ้ามีหนังใหม่กำลังจะเข้าฉาย โปสเตอร์หนังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น  ถ้าโปสเตอร์หนังทำออกมาได้แย่ ก็จะเสียคะแนนการโปรโมตหนังมากๆ เลย อย่างเช่น



Knight And Day


ซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต้องหนีจากการถูกไล่ล่า แล้วเกิดรักกันขึ้นมา ถ้าดูจากโปสเตอร์ก็สามารถสื่อได้ว่าเป็นหนังแนวบู๊ๆ หน่อย  แต่สองรูปนี้มีการใช้สีไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่เลย แถมท่าถือปืนเราว่าตลกมาก มันค่อนข้างขัดกับความเป็นจริง ซึ่งถือว่าเสียคะแนนมากๆ เลย
Knight & Day Knight and Day ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย
Knight And Day


วิจารณ์เขามาพอแล้ว มาพูดถึงโปสเตอร์หนังเรื่องที่เราโปรดปรานดีกว่า


ผ่าง...
The Avengers


เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยดูเรื่องนี้กัน นั่นก็คือเรื่อง The Avengers ค่ะ ซึ่งเป็นหนัีงที่เกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาช่วยปกป้องโลกจากเหล่าวายร้าย
    เหตุผลที่ชอบโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ เพราะว่าโปสเตอร์สามารถสื่อออกมาได้ชัดเจน ว่าเป็นหนังแนวซูปเปอร์ฮีโร่ต่อสู้อย่างแน่อน และสามารถรับรู้ได้ทัีนทีว่้าตัวละครแต่ละตัว มีความสามารถพิเศษหรืออาวุธประจำตัวอย่างไร แม้ใครที่ไม่เคยดูก็จะรู้ได้ทันทีว่าตัวละครนี้มีลักษณะพิเศษอย่างไร ภายในรูปจะเห็นว่ามีฉากหลังก็จะเป็นภาพเมืองที่กำลังถูกโจมตี เป็นสีทึมๆ เทาๆ ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ผู้ออกแบบจะเน้นให้นักแสดงที่กำลังแสดงท่าทางเหมือนกำลังพร้อมกับการต่อสู้ มีสีสันโดดเด่นเพื่อเป็นการเน้นความสำคัญ แต่การจัดวางนักแสดงค่อนข้างไม่เท่าเทียมกัน เพราะเอาตัวละครกัปตันอเมริกาที่เราชอบไปอยู่ข้างหลัง 5555 พูดเล่นค่ะๆ อาจเป็นเพราะตัวละครมีมากเกินไป จนทำให้ตำแหน่งการจัดวางดูค่้อนข้างแน่นและอึดอัด ตัวละครตัวเล็กเกิินไป ดูไกลๆ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงคิดว่าควรขยับตำแหน่งรูปให้เลื่อนลงมา ให้มีพื้นที่สีดำตรงขอบล่างน้อยลง ขยายพื้นที่ท้องฟ้าให้กว้างขึ้น แล้วให้ตัวละครที่บินได้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าสักคน น่าจะลดความอึดอัดไปได้บ้าง
  
  แต่อย่างไรก็ตามโปสเตอร์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คุณภาพหนังจริงๆ จะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ดูเท่านั้น อย่างเช่นเรื่อง The Avengers ที่ได้ข่าวว่ากำลังจะมีภาค 2 ถ้าหากโปสเตอร์ไม่สวยหรือทำให้นักแสดงดูอึดอัดไปกว่านี้ เราก็ไม่เปลี่ยนใจที่จะไปดูหนังเรื่องนี้หรอกจ้า ..






วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แค่"ให้อภัย"ใจก็สุข


     ได้สังเกตุกันหรือไม่ ว่าทุกวันนี้ในสังคมของเราล้วนมีแต่ความวุ่นวาย ผู้คนมีความสุขน้อยลง รวมถึง

ตัวของเราเองด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ รู้สึกว่าตัวเองโกรธง่ายหายนาน ฉุนเฉียวง่าย ขี้

หงุดหงิด ขี้โมโห ขี้งอน สารพัดขี้เลยล่ะ T^T จนมีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน แม่ก็เลยแนะนำให้สวดมนต์

ทำสมาธิบ่อยๆ เราจึงต้องหาหนังสือสวดมนต์มาสักเล่ม 

จนกระทั่ง... ได้มาเจอกับหนังสือที่มีชื่อว่า "มหัศจรรย์แห่งการให้อภัย" โดย พระราชญาณกวี ซึ่งจะ

ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับการให้อภัยและบทสวดมนต์

      ขอสารภาพว่าช่วงแรกที่ได้หนังสือมาไม่ได้อ่านเนื้อหาเลย มีไว้เพื่อประกอบการสวดมนต์อย่างเดียว 

ฮ่าๆ แต่พอได้อ่านเนื้อหาแล้ว จึงรู้ว่าเป็นหนังสือที่มีดีมากกว่าเป็นหนังสือประกอบการสวดมนต์เพียง

อย่างเดียว โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับการให้อภัยทาน และการ

อโหสิกรรมไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์ เพื่อไม่ให้เป็นเวร

เป็นกรรมติดต่อไปยังภพชาติหน้า การที่เราไม่ยกโทษหรือไม่ยอม

ให้อภัยก็เหมือนกับการเอาสิ่งที่ไม่ชอบ

ผูกติดกับตัวไว้ตลอด เวลาที่เราโกรธหรือเกลียดใครสีหน้าเราก็จะ

เปลี่ยน ทำให้เลือดในร่างกายผิดระบบ

 เช่น เมื่อโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ร้ายก็จะมีลักษณะ

เช่นเดียวกัน คือ มีความร้อนรุ่ม ไม่พอใจ ทำอะไรก็กังวล เป็นทุกข์

       แต่ถ้าเรายกโทษก็จะรู้สึกว่าจิตใจเบาสบาย เพราะว่าหมด

ความเป็นทุกข์ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการจองเวรข้ามภพ

ที่มาในรูปแบบลูก สามี ภรรยา หรือการพบหน้ากันครั้งแรกแต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกชะตาด้วย

 เหตุเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วเราไม่ได้มีการให้อภัยกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเราไม่สามารถรู้

ว่าชาติที่แล้วเราเคยไปทำอะไรกับใครไว้บ้าง ดังนั้นจึงควรอโหสิกรรมและขออโหสิกรรมแก่กันเพื่อให้

บกันภายในชาตินี้


                หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้เรามีความคิดเกี่ยวกับคนที่ทำให้เรารู้สึกโกรธหรือไม่พอใจต่างไปจากเดิม

นะ จะคิดเสียว่าชาติที่แล้วเราอาจจะเคยล่วงเกินทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจมาก่อน จึงยุติกรรมด้วยการให้อภัย

กันในชาตินี้ ซึ่งถ้าได้ลองจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องคิดว่าเป็นการให้ทานอย่างสูงที่จำเป็นต้องใช้

ความพยายามที่มีผลคุ้มค่า แต่เมื่อทำได้ก็จะส่งผลให้เรารู้สึกสบายใจ มองบุคคลนั้นเป็นมิตรแทนที่จะ

เป็นศัตรูกัน และสร้างกรรมร่วมกันไม่จบไม่สิ้น

 คงจะเห็นแล้วใช่มั้ยว่า  ..พลังยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใจเราเป็นสุขนั้นคือ พลังแห่งการให้อภัย..